ปีนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกปีที่ต้องลุ้นในเรื่องของภาพรวมตลาดอสังหา โดยปีนี้ค้องยอมรับว่าธุรกิจอสังหาเผชิญทั้งในเรื่องของปัจจัยในแง่บวกและแง่ลบ โดยล่าสุดข้อมูลจาก “ลุมพินี วิสดอมฯ” เค้าได้ออกมาคาดการณ์เอาไว้ว่าปีนี้การเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ปี 2566 มีแนวโน้มเติบโต 5-15% ในขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5-10% ผลจากราคาที่ดิน ค่าแรง ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น

        ทั้งนี้ในเรื่องของการยกเลิกมาตรการผ่อนคลาย LTV ยังส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์มีแนวโน้มเติบโต 0-10% ขึ้นกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยได้มีการคาดการณ์ดังกล่าว LWS ได้มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการเติบโตของเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ใน 3-Scenarios ได้แก่

        กรณีที่ดีที่สุด (Best Case) เป็นการคาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเติบโตไม่น้อยกว่า 2.9% ซึ่งจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่น้อยกว่า 4.2% และอัตราเงินเฟ้อไม่เกิน 3% จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2566 ประมาณ 118,000 หน่วย มูลค่าประมาณ 543,000 ล้านบาท หรือเติบโต 15% และอัตราการโอนกรรมสิทธิจะมีแนวโน้มเติบโตไม่น้อยกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2565

        กรณีปกติ(Base Case) เป็นการคาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเติบโตประมาณ 2% จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่น้อยกว่า 3.5% และอัตราเงินเฟ้อไม่เกิน 3% จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2566 ประมาณ 108,000 หน่วย มูลค่าประมาณ 488,000 ล้านบาท หรือเติบโต 10% และอัตราการโอนกรรมสิทธิจะมีแนวโน้มเติบโตไม่น้อยกว่า 5% เมื่อเทียบกับปี 2565

        กรณีที่แย่ที่สุด(Worst Case) เป็นการคาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเติบโตน้อยกว่า 2% ทำให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตน้อยกว่า 3% และอัตราเงินเฟ้อสูงกว่า 5% จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2566 ประมาณ 105,000 หน่วย มูลค่าประมาณ 474,000 ล้านบาท หรือเติบโตน้อยกว่า 5% และอัตราการโอนกรรมสิทธิ์จะมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2565

        ทั้งนี้จากการสำรวจ พบว่าการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล (Supply) ในปี 2565 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 394 โครงการ เพิ่มขึ้น 85% และ 71% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2564  เป็นการเปิดตัวคอนโด 92 โครงการ เปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัย 302 โครงการ จำนวน 51,660 หน่วย การเปิดตัวโครงการจำนวนมากในปี 2565 ทำให้มีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยคงค้างในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล (Inventory) เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยเป็นหน่วยคงค้างประเภทบ้านพักอาศัยเพิ่มขึ้น 2.9% ขณะที่หน่วยคงค้างคอนโดลดลง 1.8% ต้องใช้ระยะเวลาในการระบายประมาณ 18 เดือน

        สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อภาคอสังหาในปี 2566 นอกจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยแล้ว การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยกเลิกมาตรการผ่อนคลายอัตราการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย รวมถึงการปรับอัตราค่าธรรมเนียมการโอน และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาประเมินที่ดินใหม่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น  ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระทบกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2566 

        ถึงแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่กระทบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 แต่การเปิดประเทศของจีนเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 มีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยบวกที่กระตุ้นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนของนักลงทุนจีน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน