ต้นปีแบบนี้ข้อมูลในแง่ของทิศทางธุรกิจยังเป็นหัวข้อหลักที่เรามักจะพูดถึงอยู่บ่อยๆ ครับ เรียกได้ว่าปีนี้เป็นอีกปีที่หลายๆ ฝ่ายต่างรอลุ้นว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ จะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่ ล่าสุดเริ่มมองเห็นสัญญาณบวกอีกครั้ง หลังทาง LPN Wisdom หรือ LWS เผยตัวเลขและกำไรของอสังหาฯ รายใหญ่แต่ละเจ้า พบว่าเดือนมกราคมที่ผ่านมาแต่ละเจ้าเค้ารับกำไรไปไม่น้อยเลยทีเดียว

        LPN Wisdom หรือ LWS บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาอสังหาในเครือบริษัท LPN เผยข้อมูลผลสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ณ มกราคม 2565 มีทั้งหมด 7,450 ยูนิต เพิ่มขึ้น 441% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2564 ด้านมูลค่ารวม 27,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 247% ซึ่งการเปิดตัวในเดือนมกราคมปีนี้ เป็นผลมาจากดีเวลอปเปอร์มีการชะลอแผนลงทุนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงปลายปี 64 จากสถานการณ์โอมิครอน ประกอบกับจำนวนสินค้าคงเหลือพร้อมขายหรือ inventory ในตลาดลดลง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายและเพิ่มสินค้าเข้ามาในตลาด

        ซึ่งยอดรวมการเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ณ มกราคม 2565 แบ่งเป็นการเปิดตัวคอนโดฯใหม่ 7 โครงการ จำนวน 5,635 หน่วย เพิ่มขึ้น 1,242% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2564 คิดเป็นมูลค่ารวม 18,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 435% มีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการอยู่ที่ 20% ซึ่งสูงกว่าอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวในเดือนมกราคม 2564 ซึ่งมีเพียง 8% โดยสถิติเปิดตัวคอนโดฯใหม่ ใกล้เคียงกับหน่วยเปิดตัวในเดือนมกราคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงยุคก่อนโควิด

        ในขณะที่การเปิดตัวแนวราบในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ณ มกราคม 2565 มีจำนวน 8 โครงการ โดย 7 โครงการมีระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และมี 1 โครงการที่ราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทต่อหน่วย มีจำนวนหน่วยทั้งสิ้น 1,815 หน่วย เพิ่มขึ้น 89% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2564 คิดเป็นมูลค่ารวมกัน 8,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2564 พบว่าบ้านเดี่ยวราคาไม่เกิน 10 ล้านบาทมีจำนวนหน่วยเปิดตัวและมูลค่าสูงสุด แซงหน้า “บ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์” โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการอยู่ที่ 10% ใกล้เคียงกับเดือนมกราคมปี 2564

        ข้อมูลล่าสุด ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2565 ทาง LPN Wisdom สรุปชุดข้อมูล โดยสำรวจผลประกอบการปี 2564 ของ 36 บิ๊กแบรนด์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ สาระสำคัญคือ “รายได้รวมลดลง-กำไรโตพุ่ง”

        ซึ่ง 36 บริษัท ได้แก่ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, เอพี ไทยแลนด์, ศุภาลัย, แสนสิริ, พฤกษา เรียลเอสเตท, เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, ควอลิตี้เฮ้าส์, สิงห์ เอสเตท, โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, LPN, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์, อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย,มั่นคงเคหะการ, อารียา พร็อพเพอร์ตี้, เสนา ดีเวลลอปเม้นท์, เอเวอร์แลนด์, เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง หรือ NC, ไรมอนแลนด์, ชาญอิสสระ, ปริญสิริ, ชีวาทัย, จีแลนด์, สัมมากร, ริชี่เพลซ 2002, อีสเทอร์น สตาร์, เจเอสพี พร็อพเพอร์ตี้, ออลล์ อินสไปร์, เจ้าพระยามหานคร หรือ CMC, เอคิว เอสเตท, ธนาสิริ, ปรีชากรุ๊ป และพราว เรียลเอสเตท

        พบว่า มีรายได้รวมกัน 281,004.29 ล้านบาท ลดลง -1.28% เมื่อเทียบกับปี 2563 ขณะเดียวกัน มีกำไรสุทธิรวมกัน 34,718.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.40% เทียบกับปี 2563 จุดเน้นอยู่ที่มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 12.35% เทียบกับปี 2563 ที่มีค่าเฉลี่ยที่ 9.35% โดยมีแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, เอพี, และ ศุภาลัย ขึ้นท็อป 3 ซึ่งสินค้าที่ทำให้ 3 แบรนเติดท็อปในด้านรับรู้รายได้และกำไรมาจากโครงการบ้านแนวราบเป็นหลัก โดยเฉพาะเซ็กเมนต์ระดับกลาง-บน ราคาขายหลังละไม่เกิน 10 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นสินค้าที่เป็นเทรนด์และมีการแข่งขันสูงของปีนี้อีกด้วย