หลังจากนี้ไปเราต้องท่องจำชื่อเมืองหลวงของประเทศเพื่อนบ้านใหม่แล้วล่ะครับ เพราะเมืองหลวงของ "อินโดนีเซีย" จะไม่ใช่ "จาการ์ตา" อีกแล้ว แต่ว่าเป็น "นูซันตารา" แทน
ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะเอาจริงครับกับเมกะโปรเจ็คต์ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นประเทศล่าสุดที่ประกาศย้ายเมืองหลวง โดยจะย้ายที่ทำการรัฐบาลจากจาการ์ตาไปตั้งบนเกาะบอร์เนียวแทน
หลายคนอาจไม่ทราบหรือเพิ่งจะทราบกันก็ช่วงนี้เองว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในจาการ์ตาหลังๆ มานี้ต้องจ่ายเงินค่าหิน ค่ากรวด และค่าปูนซีเมนต์ไปเยอะมากเพื่อเอามาถมที่ให้สูงขึ้น
นั่นเพราะตอนนี้จาการ์ตากำลังประสบปัญหาในเรื่องของเมืองที่ทรุดจมบาดาล และในอนาคตยังคาดการณ์กันว่า บริเวณพื้นที่ชายฝั่งกว่า 95% ของกรุงจาการ์ตาจะต้องจมน้ำทะเลในอีก 30 ปีข้างหน้าแน่นอน!
เรื่องนี้นับเป็นปัญหาใหญ่แถม 30 ปีก็ไม่ถือว่านานอะไรครับดังนั้นทางรัฐบาลอินโดนีเซียจึงต้องเร่งจัดการแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน
ซึ่งผมรู้สึกว่าเค้ามีความคิดที่จะย้ายเมืองหลวงมานานหลายปีแล้วนะ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างรวมถึงการเกิดขึ้นของโควิด-19 ทำให้ล่าช้ามาหลายปี
แต่ตอนนี้อินโดนีเซียเพิ่งผ่านกฎหมายวางกรอบการทำงานเพื่อย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตา ไปตั้งบนพื้นที่ป่าบนเกาะบอร์เนียวแล้ว โดยใช้ชื่อว่า "นูซันตารา" ซึ่งการก่อสร้างถนนรวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นั้นจะเริ่มต้นภายในปีนี้เลยครับ ส่วนกำหนดสร้างเสร็จนั้นจะเป็นในปี 2567
"นูซันตารา" ในภาษาชวามีความหมายว่า "หมู่เกาะ" จะถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ของจังหวัดกาลิมันตันตะวันออกที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ มีประชากรเพียง 3.7 ล้านคน แถมยังขึ้นชื่อในเรื่องป่าใหญ่และอุรังอุตังอีกด้วย
ในเบื้องต้นจะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 56,180 เฮกตาร์ หรือราวๆ 561.8 ตร.กม. แต่มีการจัดเตรียมพื้นที่ไว้ถึง 256,142 เฮกตาร์ หรือราว 2,561.42 ตร.กม. เผื่อเอาไว้สำหรับการขยายเมืองในอนาคตครับ
พูดถึงชื่อเกาะบอร์เนียวผมคิดว่าทุกคนต้องคุ้นหูกันอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าคิดไม่ออกว่ามันมีหน้าตายังไง สภาพแวดล้อมโดยรวมเป็นแบบไหน ก็บอกได้สั้นๆ ว่าเป็น "พื้นที่ธรรมชาติชุ่มน้ำและป่าเขตร้อน" ครับ
รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศลั่นเลยว่า เมืองหลวงแห่งใหม่อย่างนูซันตารานั้นจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของชาติ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของประเทศ สร้างให้เป็นดินแดนในอุดมคติ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างเมืองอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม!
เพราะทางนี้เค้ามีการตั้งงบประมาณไว้ที่ 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการเนรมิตมหานครแห่งใหม่ขึ้นมา และเมื่อพูดในเรื่องของทำเลก็นับว่าเหมาะสมกับเหตุผลทางเศรษฐกิจไม่น้อยนะ
นั่นเพราะพื้นที่ปัจจุบันตอนนี้เป็นสวนปาล์มน้ำมันครับ นูซันตาราจะเป็นเมืองชายฝั่งขนาดเล็กและมีเมืองบริวารรวมทั้งหมดอีก 5 แห่งกระจายอยู่โดยรอบ และมลพิษเป็นศูนย์
สำหรับเมืองบริวารทั้ง 5 ที่ล้อมเมืองใหม่เอาไว้นี่ก็ได้บทเรียนจากจาการ์ตาเหมือนกัน เค้าเลยแพลนไว้ว่าจะแยกเมืองออกจากกันด้วยพื้นที่สีเขียว ใช้เป็นแถบกั้นเขตของแต่ละเมืองไม่ให้รุกล้ำกันในอนาคต เลือกใช้แนวทางการออกแบบที่เรียกว่า "การเลียนแบบทางชีวภาพ" (Biomimicry) หรือก็คือการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบข้างแล้วนำมาประยุกต์ครับผม
ตามแผนการที่วางเอาไว้นั้น 70% ของนูซันตาราทั้งหมด 2,500 ตารางกิโลเมตรจะเป็นพื้นที่สีเขียวครับ ส่วนในพื้นที่ก่อสร้างก็จะมีการจัดตั้งสถาบันเพื่อการปลูกป่าและสวนพฤกษศาสตร์รวมอยู่ด้วย เป็นการทำงานให้สอดคล้องกับสภาพของธรรมชาติแบบไม่จงใจฝืนหรือต่อต้านนั่นเอง
นอกจากนี้พื้นที่เมืองหลวงใหม่ที่ว่าเองก็มีขนาดย่อม ทำให้คนอยู่ใกล้กันชนิดที่ว่าสามารถขี่จักรยานและเดินไปได้ในทุกๆ ที่ทั่วเมือง ทางด้านของระบบขนส่งสาธารณะก็จะจัดให้ใช้พาหนะขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าทั้งหมดเลยเหมือนกัน
แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนะ เพราะจากที่ผมบอกไปครับว่าพื้นที่ที่ถูกเลือกให้เป็นเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซียนั้นเป็นพื้นที่ป่าอันอุดมสมบูรณ์ ไม่แปลกที่คนจะกังวลกันว่าโปรเจ็คต์นี้มันจะสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศบนเกาะอันเขียวชอุ่มแห่งนี้หรือเปล่า
แถมพื้นที่ส่วนนี้ยังเป็นเพียงไม่กี่จุดบนโลกที่มีลิงอุรังอุตังใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติด้วย!
แม้ว่าบรรดาผู้นำของอินโดนีเซียทั้งหลายเขาจะสัญญาว่า การสร้างเมืองหลวงใหม่ในครั้งนี้จะไม่เข้าไปยุ่งกับป่าที่ได้รับการคุ้มครองและจะพยายามรักษาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติเอาไว้ให้ได้มากที่สุดก็เถอะ แต่ถ้าลองคิดๆ ดูการที่มีประชาชนไปอาศัยบนเกาะบอร์เนียวมากขึ้นมันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดความเสียหายอยู่ดี
ดังนั้นแม้ทางรัฐบาลจะยืนยันว่าจะใช้หลักการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน แต่เหล่านักอนุรักษ์ทั้งหลายก็ยังหวาดๆ กันอยู่ดีครับ ถ้าหากทำอย่างไม่ระมัดระวังมันจะกลายเป็นการหนีจากพื้นที่ระบบนิเวศที่เสียหายจากที่หนึ่ง เพื่อไปสร้างความเสียหายให้กับอีกที่หนึ่ง เหมือนย้ายปัญหาเอาไปไว้ที่ใหม่แทนหรือเปล่า
ผมคิดว่าแนวคิดการทำให้เมืองกลมกลืนไปกับป่าและระบบนิเวศดั้งเดิมเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเลยนะ แต่เรื่องของการทำลายสภาพแวดล้อมเดิมลงไปมันก็น่าเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละครับ
ได้แต่หวังว่าการย้ายเมืองหลวงครั้งนี้ของอินโดนีเซียจะมีผลดีต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่บ้าง เพราะถ้าไม่มีการวางแผนที่ดีและมองว่าปัญหาเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นเรื่องไกลตัวแล้วล่ะก็ นูซันตาราก็อาจจะกลายเป็นจาการ์ตาแห่งที่สองได้เหมือนกัน
Tag :
เคยมีคนถามผมว่า "สมัยนี้ ยังสามารถสร้างคอนโดที่ไม่ใกล้รถไฟฟ้าได้ไหม?" ได้สิ เพราะแม้ว่าความใกล้ รถไฟฟ้า จะเป็น 1 ในปัจจัยหลักที่สำคัญมาก แต่มันก็ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ "ขาย" ได้อยู่อีก
จะมีคอนโดปล่อยเช่าอยู่อันนึง ที่แม้แต่ตอนโควิดก็ไม่มีผลอะไร มีคนเช่าตลอดๆ แทบไม่มีช่วงว่าง บางครั้งคือ คนเก่าย้ายออกตอนเช้า ตอนเย็นคนใหม่ใส่หน้ากากอนามัยขนของเข้าอยู่ต่อเลย
หลังจากที่ผมถ่ายรูปห้องตัวอย่างใน Sales Gallery เสร็จ ผมก็หันไปบอกกับคุณบี ที่มาด้วยกัน เชื่อไหมว่า แป๊บๆ เดี๋ยวก็ Sold Out!!
หน้าร้อนซัมเมอร์มันก็ต้องคู่กับทะเล ผมฝันไว้เสมอนะว่าอยากมีคอนโดตากอากาศ แต่ปัญหาก็คือคอนโดติดทะเลส่วนใหญ่มีราคาแรงมาก
หลังจากปล่อย "KLOS Ratchada" ไปไม่นาน "Frasers Property" ก็ได้ฤกษ์เตรียมผุดคอนโดแบรนด์ KLOS แห่งที่ 2 ต่อทันทีครับ
นับตั้งแต่เมืองเริ่มขยายตัวออก พื้นที่ที่หลายคนเคยมองข้ามก็กลายเป็นว่าเริ่มเนื้อหอมขึ้นเรื่อยๆ
"Osaka Expo 2025" ตำนานบทใหม่ของญี่ปุ่น เปลี่ยนเกาะเทียมธรรมดาให้กลายเป็นเมืองขนาดย่อม
เทรนด์อาคารอนุรักษ์พลังงานยังคงมีมาให้เห็นกันเรื่อยๆ และล้ำหน้ามากขึ้นทุกวันๆ และหนึ่งในโปรเจ็คที่น่าตื่นตาตื่นใจและควรค่าให้หยิบมาพูดถึงกันในวันนี้คือ "505 State Street" ครับ
ในวินาทีที่ผมย่างเท้าเข้ามาชมห้องตัวอย่างของโครงการ "Amatara Residences Rayong" (อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง) บอกตามตรงว่าแอบคิดลึกๆ ในใจว่า 'นี่มันอีกระดับของที่พักตากอากาศแล้ว'
หลังจากสร้างเสียงฮือฮาแก่ชาวโลกจากโครงการ The Line เมืองภายใต้กำแพงยักษ์จากประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งโครงการนี้เป็นอยู่ภายใต้โครงการ Neom ซึ่งเป็นโครงการที่ทางซาอุฯ หมายมั่นให้เป็นเมืองใหม่ที่มาจากโลกอนาคตนั่นเอง แต่มันจะหยุดอยู่แค่ The Line ไม่ได้ครับ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งอนาคต ความล้ำจะต้องไปสุดกว่านี้ ล่าสุดทาง Neom ส่งอีก Golf Community มาเพิ่มอีก!!
เรากำลังจะมีสวนสนุกธีม Dragon Ball แห่งแรกของโลกแล้วครับ! แถมยังการันตีว่าใหญ่กว่าดิสนีย์แลนด์ด้วย!
ร้อนๆ แบบนี้ ถ้าได้เครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้วดับร้อนนี่บอกเลยว่าสดชื่นมากกกกก ยิ่งถ้าได้เครื่องดื่มสไตล์ไทยๆ นี่แหละตอบโจทย์เลย!!!!