เป็นประเด็นที่น่าจับตาจริง ๆ ครับหลังจากที่คลังเสนอจัดเก็บภาษีที่ดิน 100% ซึ่งคนที่มีที่ดินอยู่ในมือก็เริ่มใจไม่ดี เพราะจะต้องเสียค่าภาษีเต็ม ๆ แล้ว

        แต่ทางด้านผู้ประกอบการอสังหาฯ กลับไม่ได้คิดเช่นนั้นนะครับ เพราะหลาย ๆ รายก็ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบหนักเท่าโรงแรม ร้านอาหาร

        ในทางกลับกัน “เจ้าของที่ดิน” อาจจะอยากขายที่ดินเพราะไม่อยากรับภาระต้นทุนภาษีด้วยซ้ำ จึงเป็น “โอกาส” ที่จะซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการหลังชะลอมา 2 ปีครับ

        อย่างทางนาย อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากกระทรวงการคลังเก็บภาษีที่ดินเต็มอัตรา 100% ในปีนี้  เชื่อว่าภาคอสังหาฯ ได้รับผลกระทบน้อย 

        เนื่องจากบ้านจัดสรรได้รับการลดภาษี 90% อยู่แล้วตามกฏหมายหลัก 3 ปีนับตั้งแต่การรับใบอนุญาตจัดสรร ส่วนอาคารชุด/คอนโดมิเนียม ได้รับการลดหย่อน 90% เช่นเดียวกัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการอนุญาตก่อสร้าง ฉะนั้นช่วงที่ผ่านมาที่มีการลดหย่อนภาษีที่ดิน 90% ไม่มีผลต่อธุรกิจอสังหาฯ

        โดยธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบจากมาตรการ “ล็อกดาวน์” มากกว่าที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้า หรือการชะลอเปิดโครงการเนิ่นนานออกไป แม้จะได้รับใบอนุญาตก่อสร้างแล้ว หรือได้รับใบอนุญาตจัดสรรแล้ว อาจเลยกำหนด 3 ปีได้ซึ่งสถานการณ์โควิดกินเวลามากว่า 2 ปีแล้ว 

        ดังนั้น ภาคอสังหาฯ มีจำนวนไม่มากที่ได้รับผลกระทบ และอีกส่วนหนึ่งของโครงการที่ครบ 3 ปีแล้วต้องจ่ายตามปกติ ซึ่งขณะนี้พบปัญหาว่า “แต่ละท้องถิ่นตีความไม่เหมือนกัน” บางท้องถิ่นหากสร้างเสร็จแล้วจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย กล่าวคือ “ล้านละ 200 บาท” แต่บางท้องถิ่นจะระบุว่าเป็นอื่นๆ ฉะนั้นต้องคิดภาษีในอัตรา ล้านละ 3,000 บาทครับผม