สั่นสะเทือนเขย่าวงการการเงินครั้งใหญ่เลยครับสำหรับ ‘ธนาคารไทยพาณิชย์’ ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย ที่ให้บริการมากว่า 116 ปี ได้ตั้งบริษัทแม่แห่งใหม่ ‘SCBX’ ขึ้นมาเป็นยานแม่ลำใหม่

        ผมล่ะชอบคำว่า "ยานแม่" ของเค้าจริง ๆ มันบ่งบอกได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้มาแค่ยานลำเดียวแน่ ๆ แต่จะมี "ยานลูก" เป็นบริษัทย่อยออกตามมาอย่างแน่นอน

        โดยมีการประกาศชัดเจนเลยนะว่า... ต่อจากนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะไม่ได้ทำแค่ธุรกิจธนาคารอีกแล้ว แต่จะมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาคเต็มสูบ!!!

        ซึ่งแผนการปรับโครงการธุรกิจของเค้าก็คือ การนำ SCBX เข้าจดทะเบียนในตลาดทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านการแลกเปลี่ยนหุ้น (Share Swap) กับ SCB หรือ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

        ถ้าใครตามข่าวอยู่บ้าง แค่วันรุ่งขึ้นหลังจากการแถลงข่าว ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของ SCB ก็เปิดตลาดขึ้นไปมากกว่า +26.50 จุด สะเทือนป่ะล่ะ!

        ว่าแล้วผมก็ขอเกาะกระแสพาทุกคนไปรู้เรื่องราวของยานแม่นี้กันหน่อย โลกเปลี่ยนถ้าเราไม่เปลี่ยนโลกก็จะทิ้งเรานี่เนอะ รัดเข็มขัดให้แน่นแล้วไปขึ้นยานกันเล๊ยยย

SCBX ยานลำใหม่เกิดขึ้นเพื่ออะไร?

        อย่างแรก... ตามที่พวกเรารู้กันครับ ธนาคารทุกค่ายในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทุกย่างก้าวต้องได้รับอนุญาตจาก ธปท.

        ซึ่งเวลาผ่านมาอะไรที่ธนาคารเคยทำได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ ค่าธรรมเนียม ก็ล้วนถูกจำกัด ระเบียบขั้นตอนยิ่งกลายเป็นตัวถ่วง

        ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคอย่างเราก็เปลี่ยนไป การทำธุรกรรมที่ธนาคารก็น้อยลง การลงทุนรูปแบบใหม่ ๆ ทั้ง DeFi ทั้ง Crypto ก็มากขึ้น

        ดังนั้นการที่ SCB เลือกปลดแอกตัวเองออกมานี้ก็เพื่อออกจากโลกธนาคารแบบเดิม ๆ ปลดล็อกตัวเองออกมาจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ถูกควบคุมตลอดมานั่นเอง

        อย่างสอง... ก็คือการสร้างมูลค่าให้ยานลูกของเค้าอย่างชัดเจนมากขึ้น พูดแล้วหลายคนอาจจะสับสนว่ายานแม่เพิ่งตั้งเองนิ มียานลูกแล้วหรอ?

        ความจริงแล้ว SCB เค้าก็มียานลูกอยู่ภายในอยู่แล้วนะ แต่ที่ผ่านมาถูกแฝงตัวเป็นหน่วยเล็ก ๆ ใน SCB เท่านั้น แต่ที่ผ่านมาเฉิดฉายได้ไม่เต็มที่เพราะถูกควบคุมอยู่นั่นแหละ 

        การแยกมาเป็น SCBX ก็จะทำให้ยานลูกเดิมเป็นอิสระมากขึ้น (เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต > Card X) และสร้างยานลูกลำใหม่เตรียมไปบุกอุตสาหรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม

        ไม่ว่าจะเป็นโลกของ Cryptocurrency โลกของ DeFi และโลกอีกมากมายที่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เราได้ขึ้นยานไปกับเค้าด้วยนั่นเอง

SCBX แตกไลน์ธุรกิจเป็นยานลูกอะไรบ้าง? 

        เบื่องต้นหลังจากตั้งยานแม่ SCBX เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีการแตกไลน์ธุรกิจออกเป็น 15 บริษัท 

        ย้ำว่าแค่เบื่่องต้นนะครับ เพราะชื่อเค้าก็บอกอยู่แล้วว่า "X" เท่ากับพร้อมที่จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีก (เค้าไม่ได้บอกนะ ผมโยงเอง 55555)

1. บริษัท หลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCB Securities) ทำธุรกิจหลักทรัพย์
2. บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) โฟกัสด้านนวัตกรรมดิจิทัลและการลงทุนในกองทุน
3. บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) ทำธุรกิจโทเคนดิจิทัลครบวงจร
4. บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) ฟินเทคสตาร์ตอัพซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างเอสซีบีและ Abakus Group ฟินเทค ยูนิคอร์นจากประเทศจีน
5. บริษัท เอสซีบี เทคเอกซ์ จำกัด (SCB Tech X) บริษัทเทคโนโลยีซึ่งจะร่วมมือกับเทคคัมปะนีระดับโลก
6. บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (Purple Ventures) ทำธุรกิจใหม่ อาทิ ฟู้ดดีลิเวอรีในนาม “โรบินฮู้ด”
7. บริษัท เอสซีบี อบาคัส (SCB ABACUS) ทำธุรกิจสินเชื่อออนไลน์ โดยใช้เทคโนโลยี AI
8. บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด (Digital Ventures) พัฒนาโซลูชันแพลตฟอร์ม
9. บริษัท อัลฟ่า เอกซ์ จำกัด (Alpha X) ผ่านร่วมมือกับบริษัท มิลเลนเนียมกรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด บุกธุรกิจลีสซิ่งและให้สินเชื่อรีไฟแนนซ์ เน้นตลาดรถหรู
10. บริษัท เอไอเอสซีบี จำกัด (AISCB) ร่วมลงทุนกับเอไอเอส ทำธุรกิจสินเชื่อดิจิทัล
11. บริษัท ออโต้ เอกซ์ จำกัด (Auto X) ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
12. บริษัท คาร์ดเอกซ์ จำกัด (Card X) ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต รับโอนพอร์ตสินเชื่อมาจากธนาคารไทยพาณิชย์
13. บริษัท บริหารสินทรัพย์ คาร์ดเอกซ์ จำกัด (Card X AMC)
14. กองทุนเพื่อการลงทุนหรือ Venture Capital ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างเอสซีบีและเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี
15. ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารสีม่วงที่เราคุ้นเคยยังคงทำธุรกิจธนาคารพาณิชย์เหมือนเดิม ชื่อเดิม โลโก้เดิม เพียงแต่ลดสเกลให้เล็กลง เพราะโอนย้าย พนักงาน และธุรกิจยานลูกออกไปตามไลน์ธุรกิจใหม่ เพื่อความคล่องตัวมากขึ้นนั่นเอง

SCBX กระทบใคร?

        กลุ่มแรกที่หลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ไม่ได้ก็คือ กลุ่มธุรกิจทางการเงินเดิมที่มีอยู่ในตลาดนั่นเอง จากเดิมที่เคยสู้โดยแฝงตัวอยู่ใน SCB ตอนนี้พร้อมจะบินด้วยตัวเองแล้ว 

        ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และจักรยานยนต์, สินเชื่อเช่าซื้อกลุ่มรถยนต์หรู, สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล (ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน)

        ยกตัวอย่างย่านลูกของ SCBX ให้เห็นภาพก็ Card X ที่มาบุกธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิต ฝั่งผู้ที่จะได้รับผลกระทบก็จะเช่น AEON, KTC ที่ครองตลาดอยู่

        รวมไปถึง Auto X ที่จะเข้ามาบุกตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งก็จะไปกระทบกับ TIDLOR และ SAWAD ที่ครองตลาดอยู่เช่นกันนั่นเองครับ

        กลุ่มต่อมาที่น่าจะได้รับผลกระทบก็คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่กำลังบุกเบิกในตลาดอยู่ เช่น DeFi, Crypto และอื่น ๆ ที่กำลังตามมา

        ที่น่าจับตาสุดก็ 'กองทุนเพื่อการลงทุน' ซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง SCB และ CP โดยจะร่วมกันจัดตั้งบริษัทเพื่อบริหารจัดการกองทุน (ถือหุ้นฝั่งละ 50%)

        นอกจากนี้ ยังร่วมลงทุนในกองทุน Venture Capital ขนาด 600 – 800 ล้านหรียญสหรัฐฯ เป็นจำนวนเงินฝ่ายละ 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนที่เหลือจะระดมทุนจากนักลงทุนที่ได้รับการรับรอง (Accredited Investor) 

        โดยประกาศเลยครับว่า จะลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินที่มีศักยภาพ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงเติบโตทั่วโลก (Early to Growth Stage) ทั้งนี้การจัดตั้งกองทุนดังกล่าวอยู่ในระหว่างการขออนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยนะครับ

สรุป

        การปรับโครงสร้างของ SCB ไปสู่ SCBX นั้นก็เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ปลดล็อคออกจากกฎเกณฑ์ที่ผ่านมา ทำให้ตัวเองทำงานได้สะดวกมากขึ้นนั่นเอง

        ซึ่งการปรับโครงสร้างนั้นก็เริ่มจากการจัดตั้งยานแม่ขึ้นมา และปรับโครงสร้างภายในเดิมให้เป็นยานลูก บริษัทย่อยที่มีอยู่แล้วก็ดำเนินกิจการต่อไป

        รวมถึงเตรียมความพร้อมสำหรับโอกาสใหม่ ๆ เพื่อผลิตบริษัทย่อยเป็นยานลูกออกไปร่วมผจญภัยในน่านน้ำนั้น ๆ 

        โดยหลังจากนี้ SCB ก็จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ Core Business ที่เป็น Cash Cow ทำเงินให้บริษัทมากที่สุด ในที่นี้ก็คือกลุ่มธนาคารนั่นเอง

        กลุ่มที่สองคือ กลุ่มการเติบโต (Growth) ได้แก่ บริการทางการเงิน (Consumer finance) ทั้งที่มีคู่แข่งเดิมอยู่แล้วมากมาย เช่นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ, บัตรเครดิต ฯลฯ และการพัฒนาธุรกิจ digital asset ด้านต่างๆ ใน business model ใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มในระยะยาว

        ซึ่งทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ก็ยังไม่มีใครรู้นะครับว่ายานแม่นี้จะพุ่งทะยานไปสู่เป้าหมายที่เค้าตั้งไว้ได้แค่ไหน เพราะยังเป็นเรื่องของอนาคต สิ่งที่พวกเราต้องลุ้นกันก่อนก็คือ “SCBX” จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะต้องรอผลโหวตจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ ซึ่งต้องได้รับเสียงสนับสนุน 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุมซะก่อน

        อีกขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการทำ Share Swap หรือการเปลี่ยนจากถือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ไปเป็นถือหุ้น “SCBX” ในสัดส่วนเท่าเดิม โดยต้องมีผู้ถือหุ้นยอมโอนย้ายหุ้นมากกว่า 90 % ของหุ้นทั้งหมด 

        จนนำไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือการนำหุ้น SCBX เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทนหุ้น SCB ซึ่งจะถูกนำออกจากตลาด หลักทรัพย์ฯ (delisted) ในที่สุดนั่นเอง :)