ช่วงนี้ข่าวจากฝั่ง EEC มาให้เราอัพเดทกันเรื่อย ๆ เลยแฮะ เป็นอีกเขตอีกพื้นที่หนึ่งที่หมีตั้งตารอชม รูปแบบเสร็จสมบูรณ์มาก ๆ ล่าสุดแว่ว ๆ ข่าวเรื่องสนามบินมาแล้ว

 

        เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2 มีมติเห็นชอบร่างสัญญาและผลการเจรจาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เนื้อที่ 6,500 ไร่ วงเงิน 290,000 ล้านบาทแล้ว โดยจะมีขึ้นเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบอีกรอบหนึ่ง คาดว่าจะนำเสนอได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้

 

        ทางด้านของการการลงนามในสัญญากับเอกชน กลุ่มที่ได้รับคัดเลือกคือ กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS (ประกอบด้วย บมจ.การบินกรุงเทพ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น) คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในต้นเดือนมิถุนายนเช่นเดียวกัน กลุ่ม BBS เสนอผลตอบแทนโครงการคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (NPV 3%) ที่ประมาณ 305,555 ล้านบาท ซึ่งเงินก้อนนี้จะนำไปจ่ายให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งรัฐจะต้องร่วมลงทุนตามวงเงินคิดราคาปัจจุบัน 117,227 ล้านบาท เหลือเงินคืนรัฐได้ 188,328 ล้านบาท ทำให้ไม่รบกวนงบประมาณของรัฐแต่อย่างใด

 

        ซึ่งหลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการส่งมอบพื้นที่และออกหนังสือให้เริ่มต้นกรอบเวลาวางไว้ประมาณ 1 ปีครึ่งหลังลงนามในสัญญา โดยโครงการนี้จะเสนอให้คณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่มีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ช่วยดูแลเช่นเดียวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพื่อออกแบบให้ทั้งสองโครงการมีความเชื่อมต่อกัน

 

        แต่ก็ยังมีอุปสรรคในการส่งมอบพื้นที่ขณะนี้อยู่ที่การพิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) โครงการก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 และทางขับขนาน สนามบินอู่ตะเภา วงเงิน 17,768 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่กองทัพเรือ (ทร.) จะต้องดำเนินการในโครงการนี้ โดยคาดว่าจะเสนอรายงาน EHIA ได้ภายในเดือนนี้

 

        ส่วนหลาย ๆ คนคงจะอยากรู้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอะไรกับโครงการหรือไม่ คำตอบคือไม่มีผลกระทบกับโครงการนี้ เพราะว่าตามกำหนดที่วางไว้จะก่อสร้างแล้วเร็จภายในปี 2566 – 2567 เป็นช่วงเวลาที่สมาคมขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศ ประเมินว่า สถานการณ์การบินจะกลับสู่ภาวะปกติในช่วงนั้นพอดี ส่วนการขนส่งสินค้าทางอากาศจะกลับมาภายในปีครึ่ง ซึ่งเร็วกว่าขนส่งคน จึงทำให้โครงการนี้ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด