“เครื่องปรับอากาศ” หรือ “แอร์” เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญมากที่สุดชิ้นหนึ่งที่คอนโดมิเนียม “ต้อง” มีไว้นะครับ ด้วยแบบและขนาดของคอนโดสมัยนี้ไม่ค่อยเอื้อกับการที่จะให้เรารับลมธรรมชาติสักเท่าไหร่ แถมอากาศบ้านเราก็มีอยู่เพียง 2 ฤดูกาล คือ “ร้อน” กับ “ร้อนมาก” แค่พัดลมคงไม่พอ สังเกตนะครับว่าคอนโดสมัยนี้ไม่ค่อยพูดกันแล้วว่า “แถมแอร์” ไม่ใช่ไม่แถมนะครับ แต่เหมือนเป็น “สิ่งที่ต้องมีอยู่แล้ว” คล้ายๆ พวกสุขภัณฑ์หรือชุดครัว ในทางกลับกันถ้าไม่แถมให้คนซื้อคงแปลกใจถึงขั้นโวยวายกันเลย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้คนซื้อคอนโดอาจจะไม่ค่อยรู้ว่าจริงๆ ขนาดและประเภทของแอร์ที่เหมาะสมกับห้องของเราควรจะเป็นอย่างไร เพราะทางโครงการคิดมาให้แล้ว แต่วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องของ “แอร์” ให้ฟังครับ เอาเป็นว่าถือว่าเป็นความรู้รอบตัวเผื่อเอาไปใช้กับบ้านพักหรือในอนาคตที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนแอร์ละกัน

                                                      

1. แอร์ติดผนัง Wall Type : เป็นประเภทแอร์ที่ถูกใช้เยอะที่สุดในคอนโดและบ้าน เป็นแอร์ที่ถูกออกแบบมาให้สวยงามกว่าประเภทอื่น ข้อดีคือสวยงาม เสียงเงียบ ดูแลรักษาง่าย แต่ข้อเสียคือลมเบาและทนทานน้อยกว่าแอร์ประเภทอื่น

2. แอร์แขวนฝ้า Split Type : เป็นประเภทแอร์ที่ใช้น้อยมากในคอนโด ส่วนใหญ่ถูกใช้ในออฟฟิศ ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงแอร์ใน 7-11 ข้อดีคือลมค่อนข้างแรง ทนทาน คอมเพรซเซอร์เสียยาก ข้อเสียคือไม่สวยงาม เสียงลมอาจจดังหน่อย และดูแลรักษายากกว่าแอร์ติดผนัง

3. แอร์ดักส์ (แอร์เปลือย) Conceal Type : แอร์ดักส์ก็คือแอร์แขวนฝ้าที่ไม่มีกรอบ การใช้งานก็คือเอาฝังซ่อนไว้ในฝ้า ไม่ให้เห็นตัวเครื่อง แต่จะทำท่อลมต่อเพื่อส่งลมลงมาในจุดที่ต้องการ ส่วนใหญ่จะใช้อยู่ในห้างหรืออฟฟิศใหญ่ๆ ปัจจุบันมีการนำแอร์ดักส์มาใช้ในคอนโดมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดที่ต้องการความสวยงามของห้อง เพราะมันจะไม่เห็นตัวแอร์เลย ข้อดีก็คือ ประหยัดพื้นที่ แต่งห้องได้สวยงาม ข้อเสียคือ ดูแลรักษายากมาก เพราะตัวแอร์อยู่บนฝ้า การล้างทำความสะอาดอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับฝ้าเพดานได้ และถ้ามีการซ่อมก็ทำได้ลำบากเช่นกัน

4. แอร์สี่ทิศทาง Cassette Type : เป็นแอร์ที่ติดตั้งอยู่บนฝ้า แต่จะเห็นหน้ากากของแอร์โผล่ออกมา โดยจะมีช่องส่งลมออกไปทั้ง 4 ทิศทาง ความแตกต่างของแอร์สี่ทิศทางกับแอร์ดักส์ก็คือ แอร์สี่ทิศทางจะไม่มีการต่อท่อลมออกไป โดยตัวมันเองจะมีช่องส่งลมอยู่ในตัวอยู่แล้ว ปัจจุบันยังไม่ค่อยมีการนำมาใช้งานในคอนโดยกเว้นคอนโดที่มีพื้นที่ใหญ่ๆ และค่อนข้างหรูหรา เพราะแอร์ประเภทนี้แพงมาก ข้อดีก็คือประหยัดพื้นที่ การกระจายลมทั่วถึง แต่ข้อเสียคือ แพง และการดูแลรักษายาก

ปัญหาอย่างหนึ่งของคนที่เพิ่งซื้อแอร์เป็นครั้งก็คือ ขนาดของแอร์ BTU ที่เหมาะสมกับห้องของเรา

BTU คืออะไร? ช่างมันเถอะครับ อธิบายแล้วจะยาว 555 เอาเป็นว่าแค่เรามีสูตรคำนวณได้ง่ายๆ ก็พอแล้ว

สูตรที่ผมจะบอกนี้ เป็นเพียงการคำนวณคร่าวๆ เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่มีผลต่อความร้อนในห้อง เช่น แดดที่ส่องเข้ามา ห้องเรามีกระจกเยอะไหม อยู่กันกี่คน หรือมีสิ่งที่ให้กำเนิดความร้อนมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะคอนโดสมัยใหม่ที่ยัดเอาทุกเครื่องใช้ไฟฟ้ามาอยู่ในห้องทั้งหมด

สูตรง่ายๆ ก็คือ

กว้าง x ยาว x สูง x 300

ตัวอย่างเช่น ห้องขนาด 30 ตร.ม. เพดานสูง 2.7 เมตร ควรใช้แอร์ขนาดเท่าไหร่
30 x 2.7 x 300 = 24300 BTU

      ซึ่งในตลาดจริงๆ อาจจะไม่มีขนาด BTU ที่เป๊ะๆ นะครับ แต่เราก็เลือกขนาดที่ใกล้เคียงกันได้ โดยเอาปัจจัยอย่างอื่นที่บอกไว้ข้างต้นมาประกอบการตัดสินใจนะครับ
‪#‎คอนโดติดดอย‬#