ก่อนหน้านี้ผมเห็นประเด็นผ่านๆ ตา ที่มีคนโชว์ใบเสร็จชำระสินเชื่อบ้าน จ่ายไปหลักหมื่นแต่หักเงินต้นหลักร้อย ที่เหลือคือยอดของดอกเบี้ยหมดเลย
ประเด็นนี้ทำให้มี 'ชาวผ่อนบ้าน' หลายๆ ท่านมาแสดงความคิดเห็นกันมากมายเลย ซึ่งหลายๆ คนก็บ่นเป็นเสียงเดียวกันครับว่าทุกวันนี้ผ่อนบ้านจ่ายดอกเบี้ยหนัก หักเงินต้นไปน้อยกว่าดอกกันหลายรายเลยทีเดียว
จริงๆ ผมเห็นหลายคนเข้ามาแชร์เทคนิคการโป๊ะบ้านแบบ 'ทบต้นทบดอกกัน' ผ่อนหมดไวกันเยอะมากๆ เหมือนกันนะ
แต่ก็เข้าใจได้ว่า บางคนเลือกที่จะจ่ายขั้นต่ำตามที่ธนาคารกำหนด เพราะเป็นยอดที่เราพอรับไหว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากปรายตามองเห็นตัวเลขของดอกเบี้ยก็คงท้อแท้อยู่เหมือนกัน
แต่พวกเรา 'ชาวผ่อน' ไม่ต้องท้อแท้สิ้นหวังจนเกินไปครับ นอกจากวิธีการโป๊ะแล้ว เรายังมีวิธีที่จะทำให้เราผ่อนบ้านหมดไวขึ้นด้วยการ 'รีไฟแนนซ์' นั่นเอง
สำหรับใครผ่อนบ้านมานานหลายปีแล้วการรีไฟแนนซ์ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มผ่อนบ้าน การรีไฟแนนซ์เป็นเรื่องสำคัญที่ผมแนะนำให้ศึกษาเอาไว้ เพราะเป็นประโยชน์แก่เราชาวผ่อนบ้านมากๆ
รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร?
การรีไฟแนนซ์ถ้าให้อธิบายเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ ก็คือการที่เราย้ายไปทำสินเชื่อกับธนาคารใหม่ หลังจากที่เราสิ้นสุดสัญญาสินเชื่อกับธนาคารเดิม
เอ๊ะ!! แล้วการย้ายสินเชื่อไปธนาคารใหม่นี่มันจะช่วยยังไงล่ะ?
ก็ปกติเวลาเราขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทางธนาคารก็จะมีโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำในช่วง 3 ปีแรกนั่นเองครับ หลายๆ คนที่ผ่อนบ้านมาหลายปีไม่เคยรีไฟแนนซ์มาก่อนเลยอาจจะเข้าใจดี เพราะในช่วง 3 ปีแรก อาจจะผ่อนสบาย ยอดผ่อนต่อเดือนไม่มาก ยอดทบต้นเป็นตัวเลขที่น่าพึงพอใจ แต่พอเข้าปีที่ 4 กลับพบว่าดอกเบี้ยธนาคารพุ่งสูงขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงโปรโมชั่น 3 ปีแรก
ซึ่งการหากเราทำการรีไฟแนนซ์ย้ายสินเชื่อจากธนาคารเก่าที่ปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นในปีที่ 4 มาธนาคารใหม่ก็จะเป็นเหมือนการเริ่มต้นขอสินเชื่อใหม่เพื่อให้ได้โปรโมชั่นดอกเบี้ยที่ถูกลงเหมือนในช่วง 3 ปีแรกที่เราทำการกู้บ้านเลยนั่นเองครับ
แล้วถ้าเราอยากจะรีไฟแนนซ์ต้องทำยังไงบ้าง?
1. ตรวจสอบสัญญาการกู้
ขั้นตอนแรกให้เราตรวจสอบสัญญาการกู้ของตัวเองก่อนให้ถี่ถ้วนก่อนว่าสัญญากู้ของเราจะอนุญาตให้เรารีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารอื่นได้เมื่อไหร่ แม้ผมจะบอกว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะเวลาผ่อนกับทางธนาคารให้ครบ 3 ปี แต่ก็อาจจะแตกต่างตามแต่ละสินเชื่อนั่นเองครับ ดังนั้นแนะนำว่าเช็คให้ชัวร์ก่อนดีกว่า
แต่หลังจากเช็คอย่ารอให้ครบระยะเวลาที่กำหนดแล้วเริ่มดำเนินการนะ เพราะเวลาเราจะรีไฟแนนซ์บ้าน ทางธนาคารใหม่ก็ต้องใช้เวลาในการพิจารณา ประเมินราคา และทำเรื่องอนุมัติสินเชื่อ เช่นกันครับ
ยกตัวอย่างเช่นสัญญาการกู้อนุญาตให้เรารีไฟแนนซ์ได้หลังจากผ่อนครบ 3 ปี เราควรจะเริ่มยื่นเรื่องไฟแนนซ์กับทางธนาคารใหม่ได้ตั้งแต่ 2-3 เดือนก่อนครบสัญญา
2. พิจารณาธนาคารที่เหมาะสมกับตัวเรา
โปรโมชั่นรีไฟแนนซ์บ้านมีให้เลือกเยอะไม่ต่างจากโปรโมชั่นยื่นกู้บ้านเลย โดยเราสามารถเลือกที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด แต่หลักๆ ให้เราพิจารณาจากข้อเสนอ ทั้งในเรื่องของดอกเบี้ยและระยะเวลาในการชำระหนี้ ดอกเบี้ยก็ควรถูกกว่าเดิม
ไม่เพียงแต่ธนาคารใหม่เท่านั้น บางคนอาจจะเลือกรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านกับธนาคารเดิมก็มีเหมือนกัน ข้อดีก็คือไม่ต้องเสียเวลาดำเนินการ ลดค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ แต่ข้อเสียคือส่วนใหญ่ธนาคารเดิมก็จะให้ดอกเบี้ยไม่ถูกเท่าธนาคารใหม่นั่นเอง ดังนั้นแนะนำให้เลือกเอาแบบที่เราสะดวกแล้วกัน แต่โดยปกติแล้วการรีไฟแนนซ์เพื่อจุดประสงค์ในการผ่อนบ้านให้หมดไวขึ้น ดังนั้นการเปลี่ยนธนาคารจึงน่าจะตอบโจทย์มากกว่า
3. เตรียมเอกสาร
การเตรียมเอกสารรีไฟแนนซ์จะมีขั้นตอนคล้ายๆ กับตอนที่เราเตรียมเอกสารเพื่อขอยื่นกู้บ้านใหม่เลย โดยเอกสารที่ต้องเตรียมได้แก่
- เอกสารข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น
- เอกสารแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
- เอกสารหลักประกัน เช่น โฉนดที่ดิน และ สัญญาเงินกู้จากธนาคารเดิม เป็นต้น
4. ยื่นรีไฟแนนซ์กับทางธนาคาร
หลังจากที่เราเตรียมเอกสารและยื่นเรื่องกับธนาคารแล้ว หากเอกสารไม่มีปัญหาหรือธนาคารไม่ได้ขอเอกสารอื่นๆ เพิ่ม ทางธนาคารจะทำการส่งเจ้าหน้าที่เข้าประเมินราคาหลักประกันเพื่อใช้ประกอบการขอสินเชื่อ นั่นก็ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้ระยะเวลาคร่าวๆ ตีไปเลย 1 เดือน ดังนั้นแนะนำให้เตรียมเอกสาร ศึกษาธนาคารและสินเชื่อไว้เนิ่นๆ ก่อนหมดสัญญาอย่างที่กล่าวไว้ในข้อ 1 นั่นเองครับ
5. เตรียมจ่ายเงิน
หลังจากที่ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ เราก็จะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเหมือนตอนกู้บ้านใหม่เช่นกัน อาทิ ค่าประเมิน 2-3 พันขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร , ค่าจดจำนอง จ่ายให้กรมที่ดิน 1% ของวงเงินกู้ , ค่าประกันอัคคีภัย , ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงิน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ของธนาคาร เป็นต้น
6. ไปทำสัญญาและจดจำนองที่กรมที่ดิน
หลังจากนั้นทางธนาคารจะมีเจ้าหน้าที่ถือสัญญาไปให้เซ็นที่กรมที่ดิน พร้อมกับการทำสัญญาจดจำนองในวันเดียวกันเลยครับเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการรีไฟแนนซ์
Tag :
ช่างเป็นคอนโดที่เหมาะกับคนเห็นแก่กินอย่างพวกผมยิ่งนัก 555 จะหันซ้ายหันขวา ก็คราคร่ำไปด้วยร้านของกินเด็ดๆ เรียงกันเป็นแถว
เคยมีคนถามผมว่า "สมัยนี้ ยังสามารถสร้างคอนโดที่ไม่ใกล้รถไฟฟ้าได้ไหม?" ได้สิ เพราะแม้ว่าความใกล้ รถไฟฟ้า จะเป็น 1 ในปัจจัยหลักที่สำคัญมาก แต่มันก็ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ "ขาย" ได้อยู่อีก
จะมีคอนโดปล่อยเช่าอยู่อันนึง ที่แม้แต่ตอนโควิดก็ไม่มีผลอะไร มีคนเช่าตลอดๆ แทบไม่มีช่วงว่าง บางครั้งคือ คนเก่าย้ายออกตอนเช้า ตอนเย็นคนใหม่ใส่หน้ากากอนามัยขนของเข้าอยู่ต่อเลย
หน้าร้อนซัมเมอร์มันก็ต้องคู่กับทะเล ผมฝันไว้เสมอนะว่าอยากมีคอนโดตากอากาศ แต่ปัญหาก็คือคอนโดติดทะเลส่วนใหญ่มีราคาแรงมาก
หลังจากปล่อย "KLOS Ratchada" ไปไม่นาน "Frasers Property" ก็ได้ฤกษ์เตรียมผุดคอนโดแบรนด์ KLOS แห่งที่ 2 ต่อทันทีครับ
นับตั้งแต่เมืองเริ่มขยายตัวออก พื้นที่ที่หลายคนเคยมองข้ามก็กลายเป็นว่าเริ่มเนื้อหอมขึ้นเรื่อยๆ
หลังจาก "Emsphere" ห้างใหม่ในกลุ่ม "Em District" เปิดตัวไป ก็เพิ่มกระแสให้กับพื้นที่รอบด้านได้เพียบเลย ขนาดแค่เปิดตัววันแรกคนก็มหาศาล เรียกว่าสมราคาตระกูล Em สุดๆ
คิดจะพักคิดถึงคิทแคท แต่ถ้าคิดถึงโดนัทอร่อยๆ ก็ต้องคิดถึงคริสปี้ ครีม ดิค้าบบ ไปลองกันยัง “คริสปี้ ครีม x คิทแคท” (Krispy Kreme x KitKat) กับ 3 โดนัทหน้าพิเศษสุดฟิน!!
แต่ก่อนผมคิดนะว่า การจะซื้อบ้านทีก็ต้องไปดูถึงโครงการ ไปดูให้เห็นกับตาแล้วค่อยตัดสินใจ แต่ด้วยอากาศแบบนี้ บางทีก็แอบส่องผ่านทาง Social เอาก่อน น่าจะดีกว่านะ 5555
เมื่อวันก่อนได้ไปเดินเล่นที่งาน "สถาปนิก’67" เป็นอีกงานที่ผมประทับใจแล้วอยากให้เพื่อน ๆ ตามไปกันมาก ๆ เลยนะ
ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองตอนผ่านไปโซน ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา บางแค บางบอน บางขุนเทียน นะว่ามองไปทางไหน ทำไมถึงมีแต่โครงการบ้าน 100 ตร.วาขึ้นไปเท่านั้น!
ล่าสุดทางด้าน RPBW ได้ทำการเปิดตัวการออกแบบศูนย์ศิลปะและนวัตกรรมในเมืองโบกา ราตัน รัฐฟลอริดา ซึ่งความน่าสนใจก็คือเค้าไม่ได้เป็นแค่ศูนย์ศิลปะธรรมดา แต่ที่นี่ยังเป็นเวทีสำหรับแนวคิดใหม่ๆ โอกาสในการโต้ตอบกับ AI อีกด้วย